วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

เสริมสร้างภูมิคุ้มกันฝ่ายวิญญาณ พระธรรม 1 เปโตร 5.8, ยูดาห์ 1.20-21

 

โครงร่างคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2023



เรื่อง                 เสริมสร้างภูมิคุ้มกันฝ่ายวิญญาณ

พระธรรม        1 เปโตร 5.8, ยูดาห์ 1.20-21

5:8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้

20 แต่ท่านที่รักทั้งหลาย จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่สุดของท่าน และจงอธิษฐานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 จงรักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้า ขณะคอยให้พระเมตตาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานำท่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์

คำนำ              

เราควรเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงและดูดีอยู่เสมอ เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้สูญเสียเวลาและเงินทองในการรักษา และไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีอยู่เสมอย่อมป้องกันร่างกายจากโรคภัยต่างๆ 

เช่นเดียวกับจิตวิญญาณของเรา ที่ต้องเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและดูดีอยู่เสมอ เพื่อจะสามารถดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยจากการโจมตีของมารซาตานหรือการล่อลวงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

        1.               ความหมายภูมิคุ้มกันฝ่ายวิญญาณ

                              1.1.               คำว่าภูมิคุ้มกันหมายถึง ระบบป้องกันในร่างกายที่คอยช่วยเหลือไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยจากสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย

                              1.2.               คำว่าภูมิคุ้มกันฝ่ายวิญญาณ หมายถึง ระบบป้องกันฝ่ายวิญญาณที่คอยช่วยเหลือไม่ให้ถูกล่อลวงด้วยตัณหาของโลกนี้ หรือถูกโจมตีจากมารซาตาน

                              1.3.               ในพระธรรมยูดาห์ 1.20 “แต่ท่านทั้งหลายผู้เป็นที่รัก จงก่อสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ยิ่งของท่าน โดยการอธิษฐานด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 จงรักษาตัวไว้ในความรักของพระเจ้า คอยพระกรุณาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจนถึงชีวิตนิรันดร์”   อะไรก็มาสั่นคลอดความเชื่อของเราไม่ได้ อย่างเช่นโยบ

        2.               เราจะสร้างภูมิคุ้มกันฝ่ายวิญญาณอย่างไร

                              2.1.               กินอาหารให้ครบห้าหมู่และสมดุลย์ คือ “ศึกษาพระวจนะอย่างครบถ้วน” มธ 4.4

4 พระองค์ตรัสตอบว่ามีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่ามนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ 

                              2.2.               ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน “คือนมัสการ-อธิษฐานต่อพระเจ้าหรือเฝ้าเดี่ยว” สดด 42.1

1 กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำฉันใดข้าแต่พระเจ้า จิตใจข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น    ในแต่ละวันเรามีท่าทีอย่างนี้หรือไม่อยากนมัสการ อยากอธิษฐาน

                              2.3.               ออกกำลังการอย่างสม่ำเสอม “คือฝึกฝนตนเองในการรับใช้และการสามัคคีธรรม” 1 ทธ 4.7-8

7 อย่าเกี่ยวข้องกับนิยายของพวกไม่นับถือพระเจ้า และเรื่องเล่าที่ไร้สาระ แต่จงฝึกตนในทางพระเจ้า 8 เพราะถ้าการฝึกทางกายมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางพระเจ้าก็มีประโยชน์ทุกด้าน เพราะมีพระสัญญาสำหรับชีวิตปัจจุบันและอนาคต     เริ่มต้นฝึกรับใช้ในกลุ่มเซลล์

                              2.4.               หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ “คือไม่ปล่อยตนเองเข้าไปในการทดลอง”  1 ทธ 6.11, 2 ทธ 2.22  เราห้ามความบาปไม่ได้   แต่เราเลือกที่จะไม่ทำบาปได้  พระเยซูยังถูกมารทดลอง แต่พระองค์ไม่ทำตามคำล่อลวงของมาร

11 แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ และจงใฝ่หาความชอบธรรมทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความทรหดอดทน และความอ่อนสุภาพ

22 เพราะฉะนั้นท่านจงหลีกหนีจากตัณหาของคนหนุ่ม และจงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับพวกที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์

                              2.5.               นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ “คือมีเวลาพักสงบอยู่กับกับพระเจ้า” สดด 23.1-3

1 พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน  2 ​​พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสดพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ  3 ​​พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้าพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรมเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์    จิตวิญญาณเราต้องการพักสงบ และต้องการรับการฟื้นฟู

อิสยาห์ 40:31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับกำลังใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย เขาจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย

        3.               ผลที่เกิดขึ้นจากการสร้างภูมิคุ้มกันฝ่ายวิญญาณ

                              3.1.               ช่วยให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณแข็งแรงป้องกันจากการทำบาปได้   1 ยน 5.18

18 เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา

                              3.2.               ช่วยให้เราสามารถต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้  เอเฟซัส 6.11-12

11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้ 12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรค์สถาน

                              3.3.               ช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข   สดด 1.1-3

1 บุคคลผู้เป็นสุขคือผู้ไม่เดินตามคำแนะนำของคนอธรรมไม่ยืนอยู่ในทางของคนบาปไม่นั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย  2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์เขาใคร่ครวญธรรมบัญญัติของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน  3 เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำซึ่งเกิดผลตามฤดูกาลและใบก็ไม่เหี่ยวแห้งทุกอย่างที่เขาทำก็จำเริญขึ้น

 

                              3.4.               ช่วยให้เราสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สรุปและตอบสนอง

ทั้งหมดนี้ควรปฏิบัติควบคู่กันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางสุขภาพจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง

 


จงขวนขวาย (กระตือรือร้น) กระทำการดี ข้อพระธรรม ทิตัส 2.14, ฮีบรู 13.16

 

โครงร่างคำเทศนา วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2023



หัวเรื่อง                จงขวนขวาย (กระตือรือร้น) กระทำการดี

ข้อพระธรรม       ทิตัส 2.14, ฮีบรู 13.16

Titus 2:14 ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี

Heb 13:16 จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

คำนำ

 อาจารย์เปโลกล่าวว่า  พระเยซูคริสต์ทรงประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี  และผู้เขียนพระธรรมฮีบรู ก็บอกด้วยเหมือนกันว่า  จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน  เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

1.         ความหมาย:

1.1.     คำว่า ขวนขวาย  หมายถึง  หมั่นเสาะแสวงหาเพิ่มเติมโดยไม่ยอมอยู่นิ่ง” คำตรงกันข้ามคือ เพิกเฉย เกียจค้าน ไม่สนใจ ไม่คิดสู้ หรืองอมืองอเท้า

1.2.     การทำความดีเป็นหน้าที่ของผู้เชื่อ ไม่ใช่เงื่อนไขของการรับความรอด   เป็นสามัญสำนึกของทุกคน ไม่ใช่กฎเกณฑ์ทางศาสนา ถ้าเราใช้สามัญสำนึกอย่างถูกต้อง กฎเกณฑ์ศาสนาก็จะไม่จำเป็นเลย ตย. คุณป้าท่านหนึ่ง

1.3.     ดังนั้นการขวนขวายกระทำการดี จึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตามการทรงสร้างของพระเจ้า และที่สำคัญพระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้รอดพ้นจากการอธรรมเพื่อเราจะทำการดี ในฐานะประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า (ทิตัส 2.14)

2.         ทำไมคริสเตียนต้องขวนขวายกระทำการดี

2.1.     เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราเพื่อให้กระทำการดี   (สร้างทั้งเก่าและใหม่)

เอเฟซัส 2.10   เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ

2 ทิโมที 3.16-17   พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม 17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง

ทิตัส 3.8   คำนี้เป็นคำจริง               ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้อุตส่าห์กระทำการดีการเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง

2.2.     เป็นเครื่องบูชาหนึ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ฮบ 13.16 , 1 เปโตร 2.20  “ทำดีเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

Heb 13:16 จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า   1Pet 2:20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  (เมื่อลูกๆ ทำสิ่งดี พ่อแม่ก็ได้รับการยกย่อง)

2.3.     เพื่อคนอื่นจะสรรเสริญพระเจ้าเพราะการดีที่เราทำ    มัทธิว 5.14-16

14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์  (ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน  ไม่ใช่ข้อห้าม   แต่เพื่อชีวิตที่เป็นพยาน)

3.         คริสเตียนควรทำการดีกับใครและอย่างไร

3.1.     ต่อคนที่มีความเชื่อ และต่อคนของพระเจ้า กท 6.1-3, 9-10, 3 ยน 1.6, ฮบ 13.16

1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย 2 จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์  9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวก็ในเวลาอันสมควร 10 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ  3John 1:6 เขาเหล่านั้นได้เป็นพยานต่อหน้าคริสตจักรถึงความรักของท่าน ถ้าท่านจะช่วยจัดส่งเขาเหล่านั้นในการเดินทางของเขา ตามที่สมควรตามแบบอย่างของพระเจ้า ท่านก็จะกระทำดี

3.2.     ต่อคนทั้งปวง กท 6.9-10, มธ 5.16, 1 ทธ 2.1-4, ทต 3.8

10 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ

 เหตุฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าขอเตือนสติท่านทั้งหลายให้วิงวอนอธิษฐานทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อคนทั้งปวง 2 เพื่อกษัตริย์ทั้งหลายและคนทั้งปวงที่มีตำแหน่งสูง เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างเงียบๆและสงบสุข ในทางที่เป็นอย่างพระเจ้าและอย่างซื่อสัตย์ 3 การเช่นนี้เป็นการดีและเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา 1 ทธ 2.1-4

3.3.     ต่อศัตรู อริ คนที่ไม่ชอบเรา โรม 12.17-21

17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆก็เห็นว่าดี  18 ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน 19 ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าการแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง 20 อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา  21 อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี

สรุปและหนุนใจ

ฮีบรู 10:24 และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี

เอเฟซัส 6:8 เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าผู้ใดกระทำความดีประการใด ผู้นั้นก็จะได้รับบำเหน็จอย่างนั้นจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีก ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นไท

กาลาเทีย 6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวก็ในเวลาอันสมควร

พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายจริง พระธรรม ยอห์น 20.24-29

 

โครงร่างคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2023

 


หัวเรื่อง                พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายจริง

พระธรรม            ยอห์น 20.24-29

คำนำ

อาทิตย์นี้เป็นวันที่แปดที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ตลอดทั้งสัปดาห์พวกสาวกที่ได้เห็นพระเยซูหลังเป็นขึ้นได้เชื่อและวางใจในพระองค์ แต่โธมัส เป็นสาวกคนเดียวที่ไม่ได้เห็น และเขาประกาศว่าถ้าไม่ได้ประสบการณ์ด้วยตนเองเขาจะไม่เชื่อเด็ดขาด  แน่นอนว่ามีคนมากมายที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ดังนั้นคริสเตียนจึงต้องสามารถยืนยันให้เขาเห็นว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายจริง

1.         เราต้องยืนยันจากหลักฐานภายในพระคัมภีร์เอง

1.1.     การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตาย ถูกกล่าวไว้เป็นคำพยากรณ์ล่วงหน้า

1.2.     พระเยซูทรงตรัสยืนยันคำพยากรณ์ด้วยพระองค์เอง มธ 16.21, มก 8.31, ลก 9.22

1.3.     ทรงปรากฏกับพวกผู้หญิงที่อุโมงค์  ยน 20.11-18

1.4.     ทรงปรากฏกับสาวกขณะเดินทางไปบ้านเอมาอูส ลก 24.13-35

1.5.     ทรงปรากฏกับสาวกและผู้เชื่อในบ้านครั้งที่ 1  ยน 20.19-23

1.6.     ทรงปรากฏกับสาวกและผู้เชื่อในบ้านครั้งที่ 2 พร้อมกับโธมัส   ยน 20.24-29

1.7.     ทรงปรากฏกับพวกพี่น้องผู้เชื่อกว่า 500 คน  1 คร 15.6

1.8.     ทรงปรากฏกับยากอบ (น้องของพระองค์) 1 คร 15.7

1.9.     ทรงปรากฏกับสาวกที่ทะเลสาบกาลิลี  ยน 24.1-24

1.10. ทรงปรากฏกับสาวกและพี่น้องที่ภูเขามะกอกเทศ และเสด็จขึ้นสวรรค์  กจ 1.4-11, ลก 24.50-52

1.11. อาจารย์เปาโลยืนยันว่าทรงปรากฏแก่ท่านด้วย 1 คร 15.8, กจ 9.1-15

1.12. พระคัมภีร์ใหม่ล้วนกล่าวถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์

2.         เราต้องยืนยันจากหลักเหตุและผล

2.1.     อุโมงค์ที่ว่างเปล่า ยน 20.5-7

2.2.      การนมัสการในวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันที่ทรงเป็นขึ้นจากตาย 1 คร 16.2, กจ 20.7, วว 1.10

2.3.     การเจริญเติบโตของคริสตจักรชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ กจ 1.15, 2.41, 4.4, 6.7

2.4.     พระคัมภีร์ให้เป็นผลผลิตของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู

2.5.     ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มีชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ (ตัวอย่างเปาโล)

สรุป

ยอห์นกล่าวว่า  “แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์​ ​พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” วันนี้ท่านเชื่อพระเยซูหรือยัง...... พระเยซูตรัสว่า “ผู้ที่ไม่เห็นแต่เชื่อก็เป็นสุข”